นายภูริวัทน์  รักอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภูมิภาค บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวว่า การจัดแสดงรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ล่าสุดทั่วประเทศ (Scania Roadshow) เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเดิมและเปิดทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งที่อยู่ในภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยได้มีโอกาสสัมผัสและทดสอบประสิทธิภาพของรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างใกล้ชิด สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ขับขี่ พร้อมชมนิทรรศการความเป็นมาของรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ และร่วมทดลองขับขี่กับทีมอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และสามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานได้ที่ www.facebook.com/scaniathailandgroup  

            สำหรับการจัดกิจกรรมแสดงรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่  เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตในเขตพื้นที่ในภาคเศรษฐกิจโดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเชื่อมโยงโครงข่ายเส้นทางคมนาคมและการเปิดเสรีทางการค้า ส่งผลต่อโอกาสในการขยายการค้าการลงทุนของภาคเหนือ ทำให้ภาคธุรกิจขนส่งและบริการขยายตลาดการค้าผ่าน สปป.ลาว สู่จีนตอนใต้ ทำให้ภาคเหนือกลายเป็นประตูเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ที่คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว  ซึ่งจากความพร้อมกล่าวของโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจในภาคบริการขนส่ง(Logistics)  ภาคเหนือจึงเป็นเป้าหมายที่จะพัฒนาเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง  ในการขยายฐานเศรษฐกิจของภาคเหนือต่อไป

  ทั้งนี้ฐานลูกค้าของแสกนเนียคือผู้ประกอบการขนส่งผลไม้ ซึ่งในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาตลาดผลไม้ในเมืองไทยโตขึ้นกว่าร้อยละ 50 และการขนส่งสินค้าอันตรายประเภทแก๊สและน้ำมัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้รถที่มีประสิทธิภาพสูง โดยปี 2561 บริษัท มียอดจำหน่ายในประเทศ 506 คัน ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 700 คัน ส่วนภาคเหนือตั้งเป้า 120 คัน จากปีที่ผ่านมายอดจำหน่ายอยู่ที่ 80-100 คัน 

  สำหรับรถบรรทุกสแกนเนียรุ่นใหม่ (New Truck Generation Scania) มีสมรรถนะและความปลอดภัยสูงจากการทดสอบ ใช้งานจริงมากกว่า 12 ล้านกิโลเมตรทั่วโลก  ช่วยตอบโจทย์การขนส่งได้ดียิ่งขึ้น  ทั้งระบบการทำงานของเครื่องยนต์  ระบบส่งกำลังของรถ ระบบเกียร์ ระบบเบรกไอเสีย ระบบเบรกฉุกเฉิน ระบบถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับกรณีรถเสียการทรงตัวพลิกคว่ำ รวมถึงห้องโดยสารแบบใหม่ที่มีทัศนวิสัยการมองเห็นนอกรถได้ดียิ่งขึ้น ความสามารถในการประหยัดเชื้อเพลิงดีขึ้น                 นอกจากนี้ยังปล่อยมลพิษในปริมาณต่ำช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมด้านการขนส่งดีขึ้นด้วย